นายจ้างควรรู้ สถานประกอบการที่ต้องมี จป เทคนิค ตามกฎหมาย

by pam
44 views

ในปัจจุบัน เราให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานประกอบการมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากความปลอดภัยของพนักงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ การลดอุบัติเหตุและความเสี่ยงในที่ทำงานไม่เพียงแต่ช่วยรักษาชีวิตและสุขภาพของพนักงาน แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เสียหายจากอุบัติเหตุ การมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) จึงเป็นเรื่องสำคัญที่กฎหมายกำหนดให้มีในสถานประกอบการ

เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับเทคนิค (จป. เทคนิค) คืออะไร?

จป. เทคนิค หรือ Safety Officer at the Supervisory Level คือ เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ดูแลและควบคุมด้านความปลอดภัยในสถานประกอบการ โดยต้องผ่านการอบรม จป เทคนิค และได้รับการรับรองตามที่กฎหมายกำหนด จป. เทคนิค มีหน้าที่หลักในการตรวจสอบ วิเคราะห์ และจัดทำรายงานเกี่ยวกับความปลอดภัยของสถานที่ประกอบกิจการ รวมถึงเสนอแนะให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัย

สถานประกอบการที่ต้องมี จป. เทคนิค มีอะไรบ้าง

กฎกระทรวงการจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน บุคลากร หน่วยงาน หรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. 2565  กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 20 คน แต่ไม่เกิน 50 คน ต้องมี จป. เทคนิค โดยสถานประกอบกิจการที่อยู่ในบัญชีที่ 2 จะต้องมีการจัดตั้งหน่วยงานหรือบุคคลที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานเพื่อดูแลและควบคุมความปลอดภัยของพนักงาน ซึ่งประเภทสถานประกอบการในบัญชีที่ 2 มีดังนี้ :

สถานประกอบการบัญชีที่ 2

สถานประกอบการบัญชีที่ 2 ตามกฎหมาย

    • อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์
    • อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องดื่ม
    • อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์จากยาสูบ
    • อุตสาหกรรมสิ่งทอ
    • อุตสาหกรรมเสื้อผ้าหรือเครื่องแต่งกาย
    • อุตสาหกรรมเครื่องหนัง
    • อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์จากไม้
    • อุตสาหกรรมกระดาษหรือผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากกระดาษ
    • อุตสาหกรรมการผลิตสารเคมีหรือเคมีภัณฑ์
    • อุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์หรือเวชภัณฑ์ทางการแพทย์
    • อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง
    • อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก
    • อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแร่อโลหะ
    • อุตสาหกรรมโลหะหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโลหะ
    • อุตสาหกรรมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    • อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า
    • อุตสาหกรรมเครื่องจักรหรือเครื่องมือกล
    • อุตสาหกรรมยานพาหนะ ชิ้นส่วนยานพาหนะ หรืออุปกรณ์เสริมสำหรับยานพาหนะ
    • อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์
    • อุตสาหกรรมเครื่องประดับ
    • อุตสาหกรรมเครื่องดนตรี
    • อุตสาหกรรมอุปกรณ์กีฬาออกกำลังกาย
    • อุตสาหกรรมของเล่น
    • อุตสาหกรรมเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์
    • อุตสาหกรรมการผลิต การจัดส่ง หรือการจ่ายไฟฟ้า
    • อุตสาหกรรมการผลิตหรือการบรรจุก๊าซ
    • อุตสาหกรรมการผลิตถ่านโค้ก
    • อุตสาหกรรมการผลิต การเก็บ หรือการจำหน่ายไอน้ำ
    • อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์หรือการเพาะปลูก
    • สถานีบริการตามกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
    • คลังน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง
    • การให้บริการบำบัดน้ำเสียหรือกำจัดของเสียตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
    • อุตสาหกรรมการนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่
    • อุตสาหกรรมการแต่งแร่ การขุดแร่รายย่อย หรือการร่อนแร่ตามกฎหมายว่าด้วยแร่
    • การก่อสร้าง การดัดแปลง การซ่อมแซม หรือการรื้อถอนอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
    • อุตสาหกรรมการขนส่ง
    • การบริการการเดินอากาศตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
    • กิจการคลังสินค้า กิจการไซโล หรือกิจการห้องเย็นตามกฎหมายว่าด้วยคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น
    • กิจการโทรคมนาคมตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม
    • การติดตั้ง การซ่อม หรือการซ่อมบำรุงเครื่องจักร
    • โรงแรม ตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
    • กิจการนิติบุคคลอาคารชุด ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
    • ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจค้าปลีก หรือธุรกิจค้าส่ง
    • ศูนย์การจัดประชุม และการแสดงสินค้า
    • โรงพยาบาล
    • การทดสอบและวิเคราะห์การปฏิบัติการทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ หรือวิศวกรรม
    • การขายและการบำรุงรักษายานยนต์ หรือการซ่อมยานยนต์
    • สวนสัตว์หรือสวนสนุก

หากสถานประกอบการของคุณจัดอยู่ในบัญชีที่ 2  และมีลูกจ้างอยู่ในช่วง 20-50 คน ควรมีการแต่งตั้ง จป เทคนิค และส่งเข้าอบรมตามศูนย์ฝึกอบรม จป ที่ได้รับอนุญาต แต่นอกจาก จป เทคนิค แล้วสถานประกอบการของคุณเองก็ยังคงต้องมี จป. หัวหน้างาน, จป.บริหาร และ คปอ ที่ต้องมีการแต่งตั้งและจัดส่งเข้าอบรมเช่นกัน หากคุณสนใจหลักสูตรเหล่านี้เพิ่มเติมสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ >> หลักสูตร จป คปอ

ความสำคัญของการมี จป. เทคนิค

ความสำคัญของการมี จป. เทคนิค ในสถานประกอบการ

การมี จป. เทคนิค จะช่วยในการลดความเสี่ยงและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน ดังนี้:

  1. ลดอุบัติเหตุ: จปเทคนิค มีหน้าที่ตรวจสอบและวิเคราะห์สถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตราย รวมถึงการวางแผนและดำเนินการเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในสถานประกอบการ
  2. ปฏิบัติตามกฎหมาย: ด้วยทักษะความรู้ผ่านการอบรมด้านกฎหมายความปลอดภัย ทำให้สามารถชี้แนะแนวทางให้นายจ้างและพนักงานปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้องหรือถูกลงโทษทางกฎหมาย
  3. สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย: เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อพนักงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดความเครียดของพนักงาน

ขั้นตอนการจัดตั้ง จป. เทคนิค ในสถานประกอบการ

การจัดตั้ง จป. เทคนิค ในสถานประกอบการสามารถทำได้โดยการดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้:

  1. คัดเลือกลูกจ้าง: นายจ้างต้องคัดเลือกลูกจ้างที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อเข้ารับการอบรมเป็น จป. เทคนิค โดยบุคคลนั้นต้องมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย
  2. อบรม: ลูกจ้างที่ได้รับการคัดเลือกต้องเข้ารับการอบรมจากหน่วยงานที่ได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน การอบรมจะครอบคลุมเนื้อหาที่เกี่ยวกับกฎหมายความปลอดภัย การวิเคราะห์ความเสี่ยง และการดำเนินการเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
  3. ขึ้นทะเบียนรับรอง: หลังจากการอบรมเสร็จสิ้น ต้องส่งแจ้งรายชื่อผู้ผ่านอบรม เพื่อขึ้นทะเบียนกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองและงานประจำจังหวัด  จากนั้นสามารถปฏิบัติหน้าที่ในสถานประกอบการได้

บทบาทและหน้าที่ของ จป. เทคนิค

บทบาทและหน้าที่ของ จป. เทคนิค ในการทำงานจริง

บทบาทและหน้าที่ของ จป. เทคนิค ในสถานประกอบการมีหลายด้าน ดังนี้:

  1. ตรวจสอบและวิเคราะห์: มีหน้าที่ตรวจสอบและวิเคราะห์สถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในสถานประกอบการ รวมถึงการจัดทำรายงานและเสนอแนะการป้องกันอุบัติเหตุให้กับนายจ้าง
  2. จัดทำแผนป้องกันอุบัติเหตุ: วางแผนและดำเนินการเพื่อป้องกันอุบัติเหตุในสถานประกอบการ โดยการระบุและจัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
  3. การฝึกอบรมและให้ความรู้: จัดการฝึกอบรมและให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตนให้ปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างถูกต้อง
  4. ตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ความปลอดภัย: มีหน้าที่ตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ความปลอดภัยในสถานประกอบการให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. รายงานอุบัติเหตุและเหตุการณ์ที่ไม่ปลอดภัย: จัดทำรายงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุและเหตุการณ์ที่ไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นในสถานประกอบการ รวมถึงการวิเคราะห์สาเหตุและเสนอแนวทางการป้องกันในอนาคต

สรุป

การมี จป. เทคนิค ในสถานประกอบการเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นตามกฎหมาย เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จป. เทคนิค มีบทบาทและหน้าที่ในการตรวจสอบ วิเคราะห์ และจัดทำรายงานเกี่ยวกับความปลอดภัย รวมถึงการฝึกอบรมและให้ความรู้แก่พนักงาน การปฏิบัติตามกฎหมายและการมี จป. เทคนิค จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันอุบัติเหตุในสถานประกอบการ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อพนักงานและนายจ้าง ในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและเป็นมิตร

เกี่ยวกับเรา

logo jorportraining

jorportraining บริการฝึกอบรม จป หัวหน้างาน จป บริหาร จป เทคนิค คปอ

ข่าวสารความปลอดภัย

@2024 – Designed and Developed by Jorportraining